“พี่เอก ไม่ต้องโอ๋นะ ปล่อยให้เค้าหยุดร้องเอง” เจ้าของคำพูดประโยคนี้ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหม่ามี๊ของเจ้าปูนปั้นนั่นเอง
ตอนนั้นเจ้าปูนปั้นเพิ่งจะตั้งไข่ได้ไม่นาน แต่ด้วยความซนและสนุกสนานกับความสามารถใหม่ล่าสุดกับการเคลื่อนที่ด้วย 2 เท้า ทำให้เจ้าปูนปั้นซนจนได้เรื่อง เขาเล่นจนล้มไปเองแล้วก็ร้องงอแงอ้อนจะให้เราโอ๋ แต่หม่ามี๊พูดประโยคนี้ขึ้นมาเบรกไว้ก่อน ซึ่งปะป๊าก็เห็นด้วยจึงพูดกับปูนปั้นว่า
“ลุกขึ้นนะครับ หนูเล่นเอง ล้มเอง หนูก็ต้องลุกเองนะครับ ไม่มีใครแกล้งหนู” แล้วผมก็ยื่นมือให้เจ้าปูนปั้นเกาะเจ้าปูนปั้นก็ลุกขึ้นแล้วก็หยุดร้องไห้เอง ผมจึงพูดสอนย้ำเขาอีกครั้งว่า
“หนูเล่นเอง ไม่มีใครแกล้งหนูก็ต้องลุกเองนะครับ” พร้อมทั้งชมเชยให้กำลังใจว่า
“หนูเก่งมากรู้มั้ยที่หยุดร้องไห้เอง หนูต้องเข้มแข็งและอดทนแบบนี้นะครับ เพราะหนูเป็นเด็กผู้ชาย”
เราเชื่อว่านี่เป็นการสอนให้เขาเข้มแข็ง ไม่ใช่อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ร้องไห้งอแง เพื่อให้ปะป๊า หม่าม๊าหรือคนอื่นๆ ช่วย เราเชื่อว่าสิ่งที่เราสอนจะทำให้ปูนปั้นเข้มแข็งและรู้จักช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อโตขึ้น หลังจากวันนั้นเราก็ทำเช่นนี้มาตลอด
มีครั้งหนึ่งเราไปเที่ยวพัทยากัน ปูนปั้นก็ชอบตู้ไม้ชั้นวางทีวีเหลือเกิน เปิดปิดฝาตู้เล่นตึงตัง เราก็เตือนและสอนว่า “ฝามันหนักเดี๋ยวหนีบนิ้วเข้าจะเจ็บนะครับ” แต่เจ้าปูนปั้นก็ซนและก็ยังอยากเล่นต่อ เราก็มองว่ามันไม่ได้อันตรายอะไรมากถ้าหากพลาดโดนหนีบขึ้นมาจริงๆ และนั่นก็คงจะทำให้เจ้าปูนปั้นได้เรียนรู้เป็นประสบการณ์จากความซนอีกเรื่องหนึ่งตรงนี้คงเดาได้ใช่มั้ยครับว่า เจ้าตัวยุ่งก็ถูกฝาตู้หนีบเข้าจริงๆ แน่นอนฮะ ร้องไห้ลั่น พร้อมน้ำตาหยดแหมะ เราก็สอนไปประโยคเดิมว่า
“หนูเล่นเอง เจ็บเอง ก็ต้องไม่ร้องไห้ครับ เพราะไม่มีใครแกล้งหนู”
แต่ครั้งนี้คงเจ็บเยอะหน่อย ไม่หยุดร้องง่ายๆ แม้ว่าเราจะสงสารแต่ก็อดขำไม่ได้ (ทำไมใจร้ายแบบนี้น้อ) เราก็เลยถ่ายเป็นคลิปแล้วไป upload บน Facebookได้ผลทีเดียวครับ เพราะมี comment จากน้องคนหนึ่งเขียนว่า ‘น่าสงสารตรงเช็ดน้ำตาเองเนี่ยแหละ’ ทำเอาระดับความรู้สึกผิดของหม่ามี๊กะปะป๊าพุ่งสูงปรี้ดขึ้นมาเลย
แต่ท้ายที่สุด เจ้าปูนปั้นก็หยุดร้องไห้เองนะครับ จากการที่เราฝึกเขาบ่อยๆ ทุกครั้งที่เขาล้ม หรือ เล่นอะไรแล้วเจ็บ เราก็จะสอนเขา ให้ลุกเอง หยุดร้องเองทุกครั้ง ปัจจุบันเราพอจะบอกได้ว่า ปูนปั้น ไม่ใช่เด็กขี้แง ที่เจออะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ร้องไห้อ้อน เรียกให้คนมาโอ๋แล้ว
แต่ละครอบครัวอาจจะมีมุมมองในการเลี้ยงลูกต่างกันออกไป การโอบกอดปลอบประโลมและโอ๋ อาจจะเป็นวิธีที่ พ่อแม่ สบายใจกว่าที่จะทำให้ลูกหยุดร้องไห้ แต่เมื่อครอบครัวเราเลือกที่จะให้เขาเรียนรู้และเข้มแข็ง เราเองก็ต้องเข้มแข็งในตอนที่เห็นลูกร้องไห้และเจ็บ แต่ผมเชื่อว่าปูนปั้นจะโตมาอย่างเข้าใจสิ่งที่เราทำ และนั่นจะไม่ได้ทำให้สายไยและความอบอุ่นลดน้อยลงเลย เพราะเจ้าปูนปั้นจะรับรู้ได้ว่าสายตาและน้ำเสียงที่เราสอนเขา มันแปลได้ง่ายๆ ได้เพียงแค่
‘รักหนูมากเหลือเกิน’
บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)