มาทำความรู้จักกับเบคอนกันก่อนดีกว่า
เบคอน ทำมาจากมันหมู ที่มาจากส่วนหน้าท้องของหมู ในสมัยก่อน จะใช้เกลือผสมกับดินประสิวและน้ำตาลเล็กน้อย เพื่อหมัก โดยจะคลุกเคล้ากันให้ทั่ว แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ เกลือที่หมักไว้จะค่อย ๆ ซึมเข้าไปในมันหมู หลังจากนั้นก็นำไปรมควันจนแห้ง และหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ก่อนทอด
แต่ในสมัยนี้ ที่มีเทคโนโลยีการเก็บรักษาอาหารที่สะดวกรวดเร็วได้มากขึ้น เราจึงไม่ต้องรอเป็นอาทิตย์ เพื่อที่จะได้กินเบคอน เพราะมีตัวช่วยที่ช่วยย่นเวลาการหมักให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยการใช้เข็มฉีดน้ำหมักเข้าไปในมันหมูแทน ซึ่งสามารถเข้าไปได้ถึงส่วนในสุดของมันหมูอย่างรวดเร็วและทั่วถึงอีกด้วย จากเดิมที่เราจะได้กลิ่นหอมจากควันไม้อ้อยอิ่งรม เราก็จะได้กลิ่นควันที่ได้จากน้ำยาที่ให้กลิ่นควันแทน ส่วนสารเคมีที่ฉีดเข้าไปก็จะเปลี่ยนเนื้อติดมันให้เป็นสีชมพู กลายเป็นเบคอนได้ภายในวันเดียว หั่นเป็นชิ้นบาง เรียงให้เห็นมันหมูสลับกับเนื้อติดมันเป็นริ้วสวยงามบรรจุหีบห่อ ส่งไปรอจำหน่ายในตู้เย็น
กินเบคอนแล้วจะได้รับสารอาหารอะไรบ้าง?
เบคอน อยู่ในกลุ่มอาหารที่มีไขมันและเกลือมาก ไม่เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับคนอ้วนและคนที่กำลังลดน้ำหนัก หรือคนที่มีความดันโลหิตสูง แต่ในต่างประเทศ กลับเป็นอาหารที่รับประทานกันมาช้านาน เพราะเป็นอาหารที่เก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสียได้หลายเดือน ในสมัยก่อน ยังไม่มีตู้เย็นที่ช่วยถนอมอาหาร จึงมักเป็นสิ่งที่มีติดบ้านไว้ทุกบ้าน
มาดูปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ได้รับกันดีกว่า สามในสี่ส่วนของเบคอนเป็นไขมัน จึงมีพลังงานสูงมาก ในเบคอนหนึ่งชิ้น ให้พลังงานประมาณ 30-40 แคลอรี่ กินเพียงสองชิ้นจะได้พลังงานเท่ากับกินไข่หนึ่งฟอง แต่ได้สารอาหารอื่นน้อยกว่าไข่มาก โดยเฉพาะโปรตีน เกลือแร่และวิตามิน กินเบคอนก็เหมือนกินกากหมู เบคอนจึงจัดอยู่ในหมู่ไขมัน ไม่ใช่หมู่เนื้อสัตว์ โปรตีนที่ติดมากกับเนื้อหมูน้อยมาก จนอาศัยเป็นแหล่งโปรตีนไม่ได้
เบคอน ให้วิตามินบีบ้าง เพราะในหมูมีวิตามินสูง แต่วิตามินเอและเหล็ก ที่มีมากในไข่นั้น เบคอนแทบไม่มีเลย เมื่อเทียบกันในด้านคุณค่าทางโภชนาการ เบคอนแพ้ไข่อย่างเทียบไม่ติด เมื่อเทียบกันในด้านราคาแล้ว เบคอนแพ้ไข่อย่างหลุดลุ่ยอีกต่างหาก