ประโยชน์ที่พ่อและแม่ควรนอนใกล้กันกับลูกน้อย

แม่น้องเล็ก

8 years ago

การแยกห้องนอนเป็นที่นิยมหรือเป็นวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับแม่คนไทยนั้น ไม่เป็นที่นิยมด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นห่วงเกรงว่าลูกจะไม่ปลอดภัย แล้ว ประโยชน์ที่พ่อแม่ควรนอนใกล้ลูก จะมีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ

แท้จริงแล้วพ่อแม่สามารถแยกนอนกับลูกได้หลัง 3 เดือนขึ้นไป สำหรับผลต่อพัฒนาการต่างๆ ของทารกที่แยกห้องและนอนร่วมห้องกับพ่อแม่ ยังไม่มีรายงานเชิงจิตวิยาเด็ก หรือไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ออกมายืนยันว่า เด็กสองกลุ่มจะมีพัฒนาการที่แตกต่างกันแต่อย่างใด แต่ก็มีผลวิจัยที่ได้สนับสนุนถึงเหตุผลดีๆ หลายๆข้อเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย กับการที่พ่อแม่นอนใกล้กับลูกน้อยนั้นดีอย่างไร

ทั้งนี้การนอนใกล้กับลูกน้อยนั้น อาจหมายถึงการให้ลูกน้อยได้นอนในเตียงสำหรับเด็กที่แยกไว้ต่างหาก แต่ให้อยู่ในห้องนอนเดียวกับคุณ เมื่อพ่อแม่ลูกนอนใกล้กันจะส่งผลดีได้ ดังนี้

ประโยชน์ที่พ่อแม่ควรนอนใกล้ลูก

1 ถ้านอนห้องเดียวกัน แม่ก็สามารถให้นมลูกได้อย่างสะดวก เพราะไม่ต้องเดินไปหาลูกที่นอนอยู่อีกห้อง และถ้ายิ่งนอนเตียงเดียวกัน คุณแม่ก็นอนให้นมได้โดยไม่ต้องตื่นแบบเต็มตา ทำให้คุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คุณแม่อยากให้นมและลูกน้อยก็ได้ประโยชน์จากการกินนมแม่ไปเรื่อยๆ หรือจนกว่าจะหย่านมไปในที่สุด!

2 นักวิจัยด้านการนอนหลับ ดร.เจมส์ แม็คเคนนา ระบุว่าการนอนห้องเดียวกันช่วยเพิ่มโอกาสที่พ่อหรือแม่จะช่วยชีวิตลูกเอาไว้ได้ทันการณ์ ไม่ว่าสิ่งที่อาจทำให้ลูกเสียชีวิตจะเป็นสภาพทางสรีรวิทยาหรืออุบัติเหตุก็ตาม จึงทำให้พ่อแม่ตระหนักในเรื่องนี้โดยย้ำว่า “ถ้านอนห้องเดียวกัน โอกาสที่พ่อหรือแม่จะได้ยินเสียงลูกในยามวิกฤติและตอบสนองได้ทันก็จะสูงมาก”

3 ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหยุดหายใจกะทันหันในทารก เพราะในช่วงเดือนแรกๆ ที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก บางครั้งลูกทารกตัวน้อยอาจหายใจไม่สม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณนอนใกล้ลูก การหายใจของคุณน่าจะช่วยกระตุ้นเตือนให้ลูกหายใจเข้า-ออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

อ่านต่อ >> “เหตุผลที่พ่อแม่ลูก ควรนอนใกล้กัน” คลิกหน้า 2

4 การนอนห้องเดียวกับลูกจะเป็นการสร้างความผูกพันทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งระหว่างพ่อแม่กับลูกได้ดี และช่วยตอบสนองความต้องการของลูกทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน ด้วยความรักและการเฝ้าทะนุถนอมจากพ่อแม่ จะเป็นการป้องกันพฤติกรรมที่จะทำให้เด็กถูกกระทำทางเพศจากพ่อหรือแม่ได้

5 การที่ลูกนอนใกล้แม่ จะช่วยตอบสนองตามสัญชาติญาณของแม่ลูกอ่อนได้ทันที เพราะแม่จะรู้สึกตัวตื่นได้เร็วขึ้น เมื่อยินเสียงร้องของลูก ซึ่งการร้องไห้ถือเป็นธรรมชาติของทารก พ่อกับแม่อาจผลัดกันตื่นเพื่อมาดูหรือให้นมลูกได้ง่าย ช่วยแบ่งเบาเรื่องการนอนของคุณแม่ ทำให้มีเวลาพักผ่อนและมีพลังสำหรับวันต่อไปมากขึ้น

6 ถ้ามีผู้ใหญ่อยู่ใกล้ๆ อันตรายในยามค่ำคืนที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กจะลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตในกองเพลิง การถูกกระทำทางเพศโดยญาติที่มาเยี่ยม การถูกลักพาตัวจากบนเตียง การถูกสัตว์เลี้ยงทำร้าย การสำลักอาเจียนจนหายใจไม่ออก และการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากสาเหตุอื่นๆ ซึ่งน่าจะป้องกันได้ ถ้าพ่อหรือแม่คอยช่วยอยู่ใกล้

อ่านต่อ >> “เหตุผลที่พ่อแม่ลูก ควรนอนใกล้กัน” คลิกหน้า 3

7 พ่อแม่มักคิดว่าการขาดอากาศหายใจคืออันตรายอย่างหนึ่งของการนอนเตียงเดียวกันกับลูก ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด จริงๆ แล้วอันตรายจากการขาดอากาศหายใจกรณีที่พ่อแม่นอนใกล้ลูกนั้นจะเกิดขึ้นใน 2 กรณีเท่านั้น คือการให้ลูกทารกที่อายุแค่ไม่กี่เดือนนอนบนเตียงน้ำ เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เขาจะยันตัวขึ้นมาเองไม่ได้ และการที่พ่อหรือแม่เมาเหล้าหรือมึนยาจนดูแลลูกไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการขาดอากาศหายใจเพราะสาเหตุอื่นๆ (อย่างโบที่ใช้ผูกชุดนอนรัดคอ สำลักอาเจียนขณะหลับ และโรคหืดกำเริบ) การนอนอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้พ่อหรือแม่มีโอกาสที่จะตื่นมาช่วยลูกมากกว่าการนอนคนละห้องได้เยอะเลยล่ะค่ะ

8 หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการนอนห้องเดียวกันจะทำให้เด็กถูกกระทำทางเพศโดยพ่อหรือแม่ได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ถ้าพ่อแม่สร้างความผูกพันทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งกับลูกโดยคอยอยู่ใกล้ๆ และตอบสนองความต้องการของลูกทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน โอกาสที่พ่อหรือแม่จะแสดงพฤติกรรมในทางที่ไม่ถูกต้องกับลูกที่ตัวเองรักและเฝ้าทะนุถนอมมาอย่างดีจะลดลงเยอะเลยล่ะ และถึงจะให้ลูกนอนแยกห้อง ก็คงป้องกันพ่อหรือแม่ที่ตั้งใจจะล่วงละเมิดทางเพศไม่ได้อยู่ดี และอาจช่วยให้ปิดบังอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ

9 ถ้านอนห้องเดียวกัน สมาชิกทุกคนในบ้านก็จะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีที่ให้ลูกกินนมแม่ จึงช่วยป้องกันการกระทำทารุณต่อเด็กด้วย เพราะลูกไม่ต้องทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นหรือร้องไห้เพื่อให้แม่เข้ามาหา ส่วนแม่ก็ให้นมแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นได้ ทุกคนจึงตื่นนอนอย่างสดชื่น พ่อหรือแม่ที่อดนอนอาจรู้สึกไม่พอใจที่ลูกร้องกวนจนแทบไม่ได้นอน จึงมีโอกาสที่จะกระทำทารุณต่อลูกมากกว่าพ่อหรือแม่ที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและได้เห็นลูกนอนอย่างเป็นสุขตลอดคืนเยอะเลยล่ะ

อ่านต่อ >> “เหตุผลที่พ่อแม่ลูก ควรนอนใกล้กัน” คลิกหน้า 4

10 การร้องไห้กวนเพื่อให้พ่อแม่คอยดูแลถือเป็นธรรมชาติของทารก แต่ถ้าทารกร้องไห้นานๆ สมาชิกทุกคนในบ้านจะเครียด ซึ่งการการด้วยกันบ่อยๆจะทำให้คุณแม่รู้ใจลูกมากขึ้นและยิ่งคุณสนองความต้องการของลูกได้เร็วขึ้นเท่าไร ตัวลูกเองและทุกคนในบ้านก็ยิ่งได้พักผ่อนและมีพลังสำหรับวันต่อไปมากขึ้นเท่านั้น แม่จึงควรนอนใกล้ๆ ลูก จะได้ใช้การตอบสนองตามสัญชาติญาณของแม่ลูกอ่อน (ซึ่งรู้ตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงร้องไห้แอะแรกของลูก) ให้เป็นประโยชน์ ลูกก็ไม่ต้องร้องไห้อย่างหนักจนทำให้ตัวเองและทุกคนในบ้านเครียดแล้ว

>> สำหรับพี่น้องถ้าได้นอนใกล้ๆ กันในช่วงกลางคืน จะทำให้พี่น้องรักและไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น การชิงดีชิงเด่นในช่วงกลางวันจึงบรรเทาเบาบางลง เพราะการอยู่ด้วยกันทั้งกลางวันและกลางคืนช่วยเพิ่มโอกาสที่พี่น้องจะได้สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยาวนาน และถึงลูกจะไม่ได้เจอสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ ในช่วงกลางวัน (พ่อแม่ไปทำงาน ส่วนพี่ๆ ก็ไปโรงเรียน) คุณชดเชยให้เขาได้บางส่วนและช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์ได้ด้วยการใช้เวลาในช่วงกลางคืนร่วมกันและจัดสรรให้ช่วงเช้าตรู่เป็นเวลาของครอบครัว ส่วนการนอนห้องเดียวกันก็ให้ประโยชน์แบบเดียวกันในช่วงกลางคืน

*ทั้งนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า การที่ลูกน้อยนอนร่วมเตียงเดียวกับพ่อแม่นั้นมีโอกาสเสี่ยงชีวิตขณะหลับมากกว่าทารกที่นอนแยกเตียงถึง 5 เท่า เพราะครึ่งหนึ่งของเด็กทารกเสียชีวิตเฉียบพลัน (SIDS) มาจากการนอนบนเตียงที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการให้ลูกน้อยได้นอนในเตียงสำหรับเด็กจนถึงอายุ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย ซึ่งสามารถนอนอยู่ใกล้กับพ่อแม่ภายในห้องนอนเดียวกันได้

>> ตามไปดู infographic “รวมภาพสุดน่ารักเมื่อลูกนอนต้องมานอนเตียงเดียวกับพ่อแม่” คลิกหน้า 5

ใครไม่มีลูกไม่รู้หรอก เพราะภาพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน เมื่อคุณกลายเป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูก โมเม้นต์การนอนรวมเตียงเดียวกันจึงเกิดขึ้น และเมื่อทั้งสามคนพ่อแม่ลูกได้มานอนเตียงเดียวกันจะเดภาพเหตุการณ์อย่างไรบ้างไปชมกันค่ะ…กับ 10 ตำแหน่งการนอนของลูกน้อย ใครเจอเหตุการณ์แบบใดบ้างโพสอวดได้ในแฟนเพจ Amarin Baby & Kids ใต้โพสนี้กันได้นะคะ ^^

ขอบคุณภาพจาก : www.howtobeadad.com