คุณแม่มือใหม่บางท่านประสบปัญหาคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย กินไม่ค่อยได้ ในช่วงสามเดือนแรก ที่เราเรียกกันว่าอาการ “แพ้ท้อง” ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยมากอาการแพ้ท้องมักไม่ส่งผลอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่จะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกอ่อนเพลีย กระทบต่อการใช้ชีวิตและการทำงานในช่วงตั้งครรภ์อ่อนๆ สาเหตุของการแพ้ท้องเป็นผลมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ขึ้นสูงในช่วงตั้งครรภ์ โดยที่อาการมักจะมาช่วงตั้งครรภ์ 7 สัปดาห์ และหายไปหลังอายุครรภ์ 14 สัปดาห์
7 วิธีแก้อาการแพ้ท้อง สำหรับคุณแม่มือใหม่
1. เลี่ยงอาหารกลิ่นแรง
บางทฤษฎีเชื่อว่า อาการไวต่อกลิ่นของอาหารบางประเภทอาจเป็นกลไกธรรมชาติของคุณแม่ให้เลี่ยงอาหารที่ไม่เหมาะสมกับทารกในครรภ์ แม้ในปัจจุบันเราจะพบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของฮอร์โมนที่ขึ้นสูงมากกกว่า แต่ไม่แปลกหากคุณแม่จะรู้สึกเหม็นกลิ่นของอาหารบางอย่างแบบไม่เคยเป็นมาก่อน และอาจทำให้รู้สึกอยากอาเจียนได้ หากมีอาการที่ว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้นไป รวมทั้งอาหารกลิ่นแรงอื่นๆด้วย เช่น กระเทียมเจียว ของมันของทอด เป็นต้น

2. กินอาหารมื้อเล็กๆ ย่อยง่าย แทนการกินอาหารมื้อใหญ่ๆ
การกินอาหารคือตัวกระตุ้นอาการคลื่นไส้ได้มากที่สุดในคุณแม่แพ้ท้อง การกินแบบอิ่มจุก จนกระเพาะอาหารทำงานหนักมักจะกระตุ้นให้รู้สึกคลื่นไส้ได้มากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ควรรับประทานอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม รวมทั้งควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ 4-5 มื้อ แทนการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ๆ จะลดอาการแพ้ท้องได้ค่ะ
3. เลี่ยงการแปรงฟันแรงๆ และเปลี่ยนขนาดแปรงสีฟันให้เล็กลง
คุณแม่มือใหม่บางคนพบว่าการกระตุ้นที่ช่องปากด้านในมักทำให้อยากอาเจียนมาก ซึ่งเราเรียกกันว่า “gag reflex” (แก็กรีเฟล็ก) โดยมักจะพบในการแปรงฟันในตอนเช้า หรือการใช้ไหมขัดฟัน โดยคุณแม่ที่มีปัญหานี้อาจลองเปลี่ยนแปรงสีฟันเป็นขนาดที่เล็กลง งดการแปรงฟันแรงๆ ลองใช้ยาสีฟันในปริมาณลดลง และงดการแปรงลิ้นไปก่อนเพื่อลดการกระตุ้น อย่างไรก็ตามการดูแลความสะอาดช่องปากยังสำคัญมากในคุณแม่ที่อาเจียนบ่อยๆ เนื่องจากอาหารที่อาเจียนที่มีกรดในกระเพาะอาหารเมื่อผ่านช่องปากอาจก่อปัญหาต่อฟันคุณแม่ได้ ดังนั้น การแปรงฟันให้สะอาด ใช้น้ำยาบ้วนปากสม่ำเสมอ และพบทันตแพทย์ตามนัดจึงสำคัญมากค่ะ
4. ลดการขยับศีรษะไปมาแรงๆ
การเปลี่ยนท่าทางเร็วๆ รวมทั้งหันหน้าไปมาเร็วๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้มากขึ้น แนะนำว่าตื่นนอนในตอนเช้าคุณแม่ค่อยๆลุกจากเตียงให้ช้าลง ในระหว่างวันปรับเปลี่ยนกิจวัตรจากเป็นคนที่ขยับเปลี่ยนท่าไปมาเร็วให้ช้าลง จะช่วยลดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ได้ค่ะ
5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ และดื่มน้ำขิงอุ่นเพื่อลดอาการคลื่นไส้
การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันจำเป็นอย่างมากตลอดการตั้งครรภ์ ยิ่งในช่วงที่อาเจียนมาก และรับประทานได้น้อย ต้องระมัดระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนได้มากขึ้น คุณแม่ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 2-2.5 ลิตร ในบางช่วงที่รู้สึกคลื่นไส้ ลองสลับมาดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ก็พบว่าช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดีเช่นกัน

6. พบแพทย์หากอาการเป็นมากจนอ่อนเพลีย
ในรายที่อาการอาเจียนมากทุกวัน แต่ยังพอรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ คุณหมอจะให้ยาวิตามินบี 6 และยาลดอาการคลื่นไส้(ตัวที่ปลอดภัยในคนท้อง) มาช่วยบรรเทาอาการ และแนะนำให้พักผ่อนมากๆ แต่สำหรับคุณแม่ที่อาเจียนรุนแรงมากขึ้นๆ รับประทานอาหารไม่ได้เลยจนอ่อนเพลียมาก ปัสสาวะออกน้อย เนื่องจากร่างกายขาดน้ำและขาดพลังงาน ซึ่งเราเรียกว่า “ Hyperemesis Gravidarum” (ไฮเปอร์อิมิซิส กาวิดารุ่ม) โดยอาการรุนแรงแบบนี้พบได้ 3% ของการตั้งครรภ์ มักพบได้ช่วงอายุครรภ์ 9-12 สัปดาห์ คุณหมอมักจะให้นอนโรงพยาบาลเพื่อเจาะเลือด รวมทั้งให้ยาและสารน้ำทางเส้นเลือดดำ จนกว่าอาการจะทุเลาลงค่ะ
7. พักผ่อนเยอะๆ และอย่าเครียดกับอาการมากเกินไป
คำแนะนำจากหมออย่างหนึ่งสำหรับคุณแม่ที่แพ้ท้องก็คือ ควรพักเยอะๆ ค่ะ บางครั้งหลังนอนพักช่วงระหว่างวัน เมื่อตื่นมาอาการคลื่นไส้และอ่อนเพลียจะทุเลาลงได้ รวมทั้งอย่าเครียดมากจนเกินไปเพราะความเครียดมักส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้ค่ะ ข้อมูลพบว่าอาการแพ้ท้องโดยมากมักไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทารกในครรภ์ และส่วนใหญ่อาการจะทุเลาไปเองหลัง 12-14 สัปดาห์ค่ะ แต่อย่างไรก็ดี หากอาการอ่อนเพลียเป็นมากคุณแม่ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ทันท่วงทีแบบนี้ดีที่สุดค่ะ